เราเริ่มต้นทำความรู้จักกับจังหวัดยามากุจิ ที่เมืองทสึโนะชิมะ บนเส้นทางปั่นท่องเที่ยวเลียบทะเล เลาะภูเขา และเริ่มเดินทางเข้าสู่แผ่นดินใหญ่ผ่านเมืองนากาโตะ วันนี้เรากำลังจะมุ่งหน้าสู่เมืองยามากุจิ โดยที่ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะมีอะไรรอเราอยู่
ตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมาถึงจังหวัดยามากุจิ มีแต่ความน่าประทับใจให้เห็นได้ตลอดทาง อีกทั้งช่วงเวลาที่มาอากาศก็ดีมากๆ (ช่วงเวลาที่เดินทาง 25 – 31 มีนาคม) เช่นเดียวกับเช้าวันนี้ที่เราจะเดินทางจากเมือง นากาโตะ สู่ ยามากุจิ เราไม่อาจเดาได้ว่าเส้นทางวันนี้จะเป็นเช่นไร เพราะตลอดสองวันที่ผ่านมา เส้นทางที่เห็นก็สวยงามแปลกตาไม่ใช่น้อย
ซากุระผลิบาน ที่วัดไทเนจิ (Taineiji)
เพียงแค่ปั่นจักรยานเข้ามาที่ปากทางเข้าวัดไทเนจิ ก็รู้สึกได้ถึงความสงบ วัดนี้มีบริเวณค่อนข้างใหญ่ มองไปทางไหนก็เหมือนถูกโอบล้อมด้วยขุนเขา ทางเข้าด้านหน้าถูกต้อนรับด้วยต้นซากุระ สมกับเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในการแวะชมซากุระเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าวัดไทเนจิ จะมีอายุมากกว่า 600 ปี แต่ที่นี่ก็ดูไม่เก่าแก่รกร้างตามอายุเลย แต่กลับดูขลังและมีสเน่ห์ดึงดูด อย่างบอกไม่ถูก ยิ่งได้เดิมชมรอบๆ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความสงบ
หลังจากแวะชมวัดไทเนจิอย่างจุใจ เราก็ออกเดินทางต่อ เส้นทางวันนี้เป็นเส้นทางปั่นเลียบถนนใหญ่ ที่ค่อนข้างเงียบสงบ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ภูเขา มีบางช่วงที่พอจะได้เห็นลำธารและได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยๆ อากาศเย็นสบายกำลังดี จนบางครั้งที่ต้องปั่นขึ้นเนินเขาบ้างมันก็ไม่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อย แต่กลับทำให้เรารู้สึกได้ชื่นชมทิวทิศน์ของธรรมชาติที่สวยงามไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้สึกเบื่อ
Akiyoshidai ที่ราบสูงแบบคาสต์ แห่งเมืองมิเนะ
ราวกับอยู่กันคนละโลก ที่ปั่นจักรยานผ่านป่าผ่านเขา ได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ดีๆ รู้สึกตัวอีกทีสีเขียวขจีก็หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงภูเขาหินปูนที่เต็มไปด้วยต้นไม้แห้งตายสุดลูกหูลูกตา มันมีทั้งความสวยงามแปลกตา และความเวิ้งว้างราวกับอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ในใจตอนนั้นคิดเพียงว่า ถ้าอากาศตอนนี้สัก 30 กว่าองศา แล้วมาที่นี่เราคงตายแน่ๆ แต่โชคดีที่อุณภูมิตอนนั้นมันเย็นสบาย
ถนนบนเส้นทางอุทธยานแห่งชาติ อาคิโยชิได เป็นถนนที่ค่อนข้างเงียบสงบ รถไม่มากนัก ถนนค่อนข้างดี และมีเนินขึ้นลง โค้งคดไปมาเล็กน้อย ทำให้การมาปั่นจักรยานบนเส้นทางนี้สนุกมากๆ
ที่นี่คือ อาคิโยชิได (Akiyoshidai) เป็นที่ราบสูงแบบคาสต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มีประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยายาวนานกว่า 350 ล้านปี และมีพื้นที่ราวๆ 45 ล้านตารางเมตร
Akiyoshidaikagaku Museum โอเอซิสแห่งขุนเขา
สำหรับคนที่นั่งรถมาเที่ยวที่นี่ อาจจะใช้เวลาแวะเที่ยวพิพิธภัณฑ์หรือแวะเที่ยวถ้ำซึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากกันนัก หรือจะเดินชมวิวรอบๆ ถ่ายรูปทิวทัศน์ที่สวยแปลกตา หากมาในฤดูกาลอื่น ผืนดินสีน้ำตาลและแห้งแล้งที่เราเห็น จะเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว ซึ่งก็สวยงามไปอีกแบบ
บริเวณที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์นี้ สำหรับพวกเราที่ปั่นจักรยานมา ที่นี่เป็นเหมือนโอเอซิสกลางทะเลทราย เพราะที่นี่มีทั้งร้านไอศกรีมแสนอร่อย และร้านกาแฟ เก๋ๆ ให้นั่งชิลด้วย
หลังจากผ่านเส้นทางที่เหมือนอยู่กลางทะเลทราย จนได้มาเจอโอเอซิส ได้จิบกาแฟอุ่นๆ และกินไอศกรีมแสนอร่อย ก็ถึงเวลาที่จะมุ่งหน้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวต่อไป ซึ่งเส้นทางจากพิพิธภัณฑ์ เป็นเหมือนประตูเชื่อมให้เรากลับมาสู่โลกที่เขียวขจีอีกครั้ง
เราปั่นจักรยานผ่านชุมชนน่ารักๆ ที่มีเส้นทางจักรยานเล็กๆ ที่ร่มรื่น สวยสงบ ทอดยาวผ่านทุ่งนาและลำธารน้ำเล็กๆ ที่น้ำใสมากๆ ชุมชนแถวนี้ปลูกบ้านอยู่ห่างๆ กัน มีภูเขาน้อยใหญ่รายล้อมอยู่รอบๆ ยิ่งปั่นจักรยานไป ยิ่งทำให้รู้สึกอบอุ่น และประทับใจกับวิวที่ได้เห็น
ดูน้ำสีฟ้าใสที่ Beppu Benten Pound
เบปปุเบ็นเท็น (Beppu Benten) คือบ่อน้ำผุด ที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในแหล่งน้ำที่สวยที่สุด 100 อันดับของประเทศญี่ป่น ก่อนจะปั่นจักรยานมาถึงที่นี่ ผมมีโอกาสเห็นแหล่งน้ำ ที่ใสสะอาดมากมาย เห็นนกเป็ดน้ำลงมาแหวกว่ายกันอย่างสำราญ เป็นฝูงใหญ่ ไม่รู้ว่าพวกมันมีความสุขไหม แต่แค่ได้เห็นภาพนั้นผมก็รู้สึกมีความสุข
น้ำที่เบปปุเบ็นเท็นคือน้ำผุดที่มีแหล่งมาจากที่ราบสูงอาคิโยชิได ตั้งแต่บริเวณทางเข้าเดินมาชมแหล่งน้ำผุด จะมีจุดบริการน้ำที่ระลึก ที่ผู้คนที่มาที่นี่จะมีกระติกน้ำ หรือแกลอน เอามากรอกน้ำ กลับไปเป็นที่ระลึก หากเดินเข้าไปด้านใน ก็จะพบกับแหล่งน้ำผุด บ่อใหญ่ ที่เบื่องล่างมีน้ำสีฟ้าใสสะอาดจนมองเห็นพื้น ที่นี่ยังมีแหล่งเลี้ยงปลาเทราท์ที่เราสามารถซื้อทานได้จากร้านที่อยู่ใกล้ๆ นั้น
Maltoen การต้อนรับเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น
ห่างจากบ่อน้ำผุดไม่ไกล เราได้รับเชิญให้เดินไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านไม้สไตล์ญี่ปุ่น เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เป็นกันเอง เรานั่งลงบนพื้นบ้านที่เป็นเหมือนเสื่อ และตามมาด้วยการเสิร์ฟน้ำชาและกาแฟร้อนๆ ทานคู่กับขนมโมจิที่ทำขึ้นเองในบ้านนี้ ซึ่งเราได้เห็นแป้งโมจิที่เค้านำมาผึ่งแดดไว้ด้วย
เจดีย์รูริโคจิ (Ruriko-ji Temple) หนึ่งในสามเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดของญี่ปุ่น
ก่อนกลับเข้าสู่ที่พักโรงแรม หลังจากปั่นจักรยานเหนื่อยมาทั้งวัน เราได้แวะชมหนึ่งในสมบัติชาติของญี่ปุ่น คือเจดีย์ 5 ชั้น ที่วัดรูริโคจิ ที่นี่เป็นวัดพุทธซึ่งมีชื่อเสียงและถูกสร้างในยุคที่รุ่งโรจน์ของเมืองยามากุจิ
เช่นเดียวกับหลายๆ วัดในญี่ปุ่น ที่นี่มีความสงบสวยงามทั้งสวนและตัวอาคารที่จัดวางตำแหน่งไว้อย่างดี รวมถึงเหล่าแมกไม้นานาพันธุรวมถึงต้นไม้สำคัญที่เราต่างชื่นชอบที่จะเดินทางไปชมอย่างซากุระ ซึ่งทำให้วัดแห่งนี้มีความสวยงามในทุกฤดู
และทั้งหมดนี้คืออีกวันที่อิ่มเอม และมีความสุขของเรากับการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดยามากุจิ สถานที่ซึ่งเงียบสงบและสวยงามไปด้วยธรรมชาติ และอบอุ่นไปด้วยมิตรภาพของผู้คน
สนับสนุนการเดินทางโดย
การท่องเที่ยวจังหวัด Yamaguchi
บริษัททัวร์จักรยาน Octo Cycling