เมื่อได้พักผ่อนนอนอิ่ม หลังการเดินทางที่ยาวนาน จากกรุงเทพฯ สู่เมืองโมริโอกะ ด้วยเครื่องบิน ต่อรถไฟ และได้ชมสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในจังหวัด อิวาเตะแล้ว (ติดตามการเดินทางวันแรก คลิก) การได้นอนในโรงแรม Route Inn Morioka 1 คืน เป็นอะไรที่สดชื่นมากๆ ถึงแม้จะต้องตื่นขึ้นมาตอนตีสามเวลาเมืองไทย แต่เป็นเวลาตีห้าของญี่ปุ่น เพื่ออาบน้ำ ทานข้าว เตรียมตัวเดินทางไกล ไปยังเมือง ฮาจิมันไต (Hachimantai) ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของการปั่นในวันนี้ และเป็นจุดเริ่มต้นสู่การพิชิตยอดเขา ฮาจิมันไต ในวันถัดไป
อำนวยความสะดวกและสนับสนุนการเดินทางโดย
บริษัท Octo Cycling จำกัด และ การท่องเที่ยวจังหวัดอิวาเตะ
ใส่อะไรไปปั่นเมืองหนาว
- เสื้อฮีทเทคชั้นในสุด
- เสื้อทั่วไป หรือเสื้อจักรยาน
- เสื้อกันหนาวแบบเบา
- เสื้อกันลม หรือกันฝน (แล้วแต่ฤดูกาลที่ไป)
- ถุงมือจักรยาน
- ถุงมือกันลม
- กางเกงจักรยาน
- กางเกงกันลม หรือกันฝน
- หมวกแก๊บกันลม
- หมวกกันน๊อคจักรยาน
- แว่นตากันแดดกันลม

ก่อนเดินทางมาทริปนี้ เราทำการบ้านมาแล้วว่าเราต้องเจอกับสภาพอากาศอย่างไรบ้าง อุณภูมิทั่วไปอยู่ที่ราวๆ 15 – 16 องศาในเมืองโมริโอกะ ในเช้าวันนั้นตอนที่เราเตรียมตัวกันหน้าโรงแรม ท้องฟ้าอากาศดูสดใส เราสวมใส่เสื้อผ้ากันสบายๆ โดยชั้นในสุดเป็นเสื้อฮีทเทค และตามด้วยเสื้อจักรยานทับอีกชั้น ใครหนาวหน่อย ก็ใส่เสื้อกันลมทับไป
การปั่นจักรยานทางไกลในประเทศที่อุณภูมิหนาว ฝน ลมไม่แน่นอน ควรเลือกใช้เสื้อผ้าหลายชั้น แทนการใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ๆ เพียงตัวเดียว เพราะเวลาที่คุณปั่นจักรยานท่องเที่ยว พอรู้สึกหนาวคุณก็เอาเสื้อกันหนาว กันลมมาสวมใส่ทับได้ ฝนตกก็ใส่เสื้อกันฝน เพียงเท่านี้ก็ไปต่อได้เรื่อยๆ ฝนหยุดก็ถอดเสื้อกันฝนออก อากาศเย็นสบายๆ ก็ถอดเสื้อกันหนาว แต่อากาศที่น่าเป็นห่วงจริงๆ ไม่ใช่วันนี้แต่คือวันถัดไปที่เราจะต้องขึ้นไปชมสโนว์วอลล์ในอีก 1 วันข้างหน้า

“ถ้าไม่ได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทาย ก็จะไม่มีวันได้เห็นคุณค่า ที่ซ้อนอยู่ในตัวเอง”
B BKKWheels
ถึงแม้จะเป็นยามเช้าของวันทำงาน แต่การจราจรของเมืองโมริโอกะ ก็ดูจะไม่หนาแน่นเท่าไหร่ เราปล่อยให้จักรยานไหลเคลื่อนไปตามกระแสของถนนที่ดูไม่จอแจ แต่สัญญาณไฟแดงค่อนข้างสั้น ถึงแม้เราจะปั่นเรียงแถวติดกันไป แต่ด้วยจำนวนคนที่มากถึง 14 คน ก็ทำให้หลายครั้งที่หางแถวอาจต้องขาดไปบ้าง และรอกันเป็นระยะๆ

ซากุระแยกหิน Ishiwari Zakura
เมืองโมริโอกะ เป็นเมืองหลวงของจังหวัดอิวะเตะ ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาทั้ง 3 ด้าน และมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ถึงแม้เมืองจะดูใหญ่แต่ก็เป็นเมืองที่ดูไม่จอแจนัก การได้ปั่นจักรยานยามเช้าท่ามกลางอากาศหนาว ชมทิวทัศน์ของเมืองไปพลางๆ ถือได้ว่าเป็นการวอร์มร่างกายก่อนออกไปผจญภัยได้ดีทีเดียว ถึงแม้ว่าเมืองนี้จะมีที่เที่ยวไม่มากนัก แต่ก็มีสถานที่สำคัญๆ ให้เราได้แวะชมและทำความรู้จักอย่าง อิชิวาริ ซากุระ (Ishiwari Zakura) “ซากุระแยกหิน” ต้นซากุระสูงใหญ่ที่ผ่ากลางระหว่างก้อนหินขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่เรามาช้าไป ถ้าได้มาเห็นทันในวันที่กำลังออกดอกคงจะสวยงามน่าดู

ธนาคารอิฐแดง Bank of Iwate
ห่างกันไม่ไกล เราได้เห็นอาคารหลังใหญ่ใช้อิฐสีแดงก่อสร้าง ได้ยินว่าถูกสร้างโดยนักออกแบบชื่อดังของญี่ปุ่น 2 ท่าน ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสถานีรถไฟโตเกียวด้วย อาคารหลังนี้คือ The Bank of Iwate ตอนที่เรามาถึง เรากับตื่นตาตื่นใจกับดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่งหลากสีสวยงามที่ขึ้นอยู่ข้างตึก
บนถนนของเมืองโมริโอกะ ไม่ได้มีแต่พวกเราที่ปั่นจักรยาน ยังมีนักปั่นอีกหลากหลายวัย ตั้งแต่แม่บ้าน คนวัยทำงาน หรือนักเรียน ที่ต่างใช้จักรยานเป็นพาหนะเดินทางในชีวิตประจำวัน มันเป็นเรื่องแปลก ที่เราหอบหิ้วจักรยานมาตั้งไกล ปั่นในเมืองที่เราไม่คุ้นเคย แต่มันกลับรู้สึกปลอดภัย อย่างที่ไม่ต้องคอยเหลียวระวังหลัง ว่าใครจะมาสอยเราลงไปนอนข้างถนนเมื่อไหร่
ข้อดีของการปั่นจักรยานเที่ยวในญี่ปุ่นมีหลายข้อ แต่ข้อสำคัญๆ ที่ถือว่าเป็นปัจจัยในการเดินทางเลยก็คือ หิวน้ำหาตู้น้ำหยอดเหรียญซื้อกินได้ง่าย ปวดท้องต้องเข้าห้องน้ำ ร้านสะดวกซื้อมีห้องน้ำสะอาดๆ ให้ใช้ อยู่บนถนนปั่นชิดซ้าย ข้ามแยกด้วยทางม้าลาย ทางเท้าใช้ปั่นได้ รู้แค่นี้ก็ออกไปปั่นเดินทางไกลได้สบายแล้ว
ปั่นมาได้ราวๆ 30 นาที ถนนที่มีสี่แยกถี่ๆ ไฟแดงเยอะๆ ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นถนนยาวๆ เนินซึมๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ มองไปทางไหนก็ดูสะอาดตา ทางเท้าที่ญี่ปุ่นจะต่างจากบ้านเรา ตรงที่มันจะเรียบๆ ระดับเดียวกับถนน อาจจะถูกแบ่งขั้นกันด้วยแนวปูนเตี้ยๆ หรือไม่ก็ด้วยแนวไม้ สามารถใช้ได้ทั้งคนเดินเท้าและจักรยาน ที่สำคัญเลนซ้ายไม่มีฝาท่อถี่ๆ ให้คนที่ปั่นจักรยานอย่างเราต้องกังวลใจ

ผมคิดว่าผมเริ่มหลงรักเมืองนี้ตั้งแต่ไม่กี่กิโลเมตรที่ได้ปั่นจักรยานออกมา มันไม่ใช่เพียงความสะอาดตาของบ้านเมือง แต่ยังรู้สึกว่าที่นี่ยังอิ่มเอมไปด้วยธรรมชาติอีกด้วย เพราะไม่ใช่เพียงต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นขนาบสองข้างทาง แม้แต่ฝาท่อระบายน้ำริมถนนก็ยังมีดอกไม้ชูช่อออกดอกเหลืองสดใสมาให้ได้เห็น แทนที่จะเป็นเศษขยะติดฝาท่อแบบบ้านเรา
เราปั่นไปตามถนนที่กำลังพาเราออกไปจากเมืองโมริโอกะ จากตึกสูงที่สร้างติดกันดูหนาแน่น เริ่มกลายเป็นบ้านเดี่ยวมีเนื้อที่ บริเวณหน้าบ้านแต่ละหลัง จะมีการปลูกดอกไม้ ต้นไม้ประดับกันดูสวยงามสบายตา ดอกลิลลี่ หลากสีสันสดใส ราวกับถูกปรับสีจาก Photoshop โบกสะบัดพัดเอนไปตามลม ถึงแม้จะไม่รู้สึกว่ากำลังปั่นขึ้นเขา แต่ตลอดเส้นทางที่เราปั่นมาก็ดูเหมือนว่า เมืองที่เรากำลังจะไป อยู่สูงกว่าเมืองที่เราจากมา ถนนบางเส้นอาจมองไม่เห็นเนินด้วยสายตา แต่ว่ารู้สึกได้ด้วยความเร็วของจักรยาน ที่เรากำลังปั่นกันไป
ยิ่งปั่นออกมาไกลจากตัวเมือง เรื่องเนินซึมก็ดูจะกลายเป็นเรื่องรอง เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน มันก็มีภาพสวยๆ ชวนสบายใจให้ได้เห็นอยู่ตลอด ถึงแม้เวลาจะปาเข้าไปเกือบ 10 โมงแล้ว แต่เราก็ยังไม่เห็นแสงแดดแม้เพียงน้อยนิด และอากาศก็ดูเหมือนจะเย็นขึ้นเรื่อยๆ จนเราต้องหยิบเสื้อกันหนาวออกมาสวมใส่ และยังไม่ทันไรสายฝนก็เริ่มปอยลงมา

ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวขึ้นเรื่อยๆ และฝนก็เริ่มตกปอยๆ ลงมาแล้ว แต่ด้วยความสวยงามของดอกซากุระที่บานสะพรั่ง ณ บ้านหลังหนึ่ง ก็หยุดตรึงพวกเรา ให้ต้องจอดจักรยานลงไปให้ถ่ายรูปกัน จนเมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่มีคุณป้าชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง เดินออกมาดูพวกเรา เธอดูสุภาพและใจดี จนเราต้องขอถ่ายภาพเก็บไว้ในความประทับใจ
เราใช้ความเร็วในการปั่นกันไม่มาก และหยุดถ่ายรูปวิวข้างทางอยู่บ่อยครั้ง ด้วยถนนที่ไม่มีรถผ่านมาบ่อยนัก และภาพข้างทางที่ดึงดูดใจราวกับปั่นจักรยานอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ถึงแม้จะมีโอกาสเดินทางปั่นจักรยานมาหลายที่ แต่เส้นทางจากโมริโอกะ สู่ฮาจิมันไต เป็นหนึ่งในเส้นทางที่สวยงามน่าประทับใจ สำหรับผมมากจริงๆ การปั่นจักรยานท่องเที่ยวถึงจะเป็นการเดินทางที่ช้าแต่ว่าเต็มไปด้วยความสุข ยังไม่ทันได้ทานข้าวกลางวัน สายฝนก็ดูจะเริ่มลงหนักขึ้นเรื่อยๆ เราปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายไป ตามสภาพอากาศอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งใกล้เที่ยงวันอากาศก็ยิ่งดูจะหนาวขึ้นทุกที และก่อนที่เราจะโดนสายฝนกระหน่ำใส่ ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงร้านราเม็ง ที่แสนอบอุ่น
ร้านราเม็ง Yumeichi

เราถอดเสื้อกันฝน ถุงมือ และหมวกที่เปียกชุ่มออก เข้ามาในร้านราเม็งที่ไม่ใหญ่โตนัก และมีลูกค้านั่งทานอยู่ก่อนแล้ว ที่อีกด้านหนึ่งของร้าน เนื่องจากผมทานหมูไม่ได้ ไกด์ของเราจึงสอบถามกับทางร้านว่ามีอะไรที่ผมทานได้บ้าง และในที่สุดเค้าก็ทำน้ำซุปใหม่ให้ผมเป็นพิเศษ เพื่อที่จะไม่ปล่อยให้ผมได้พลาดชิมอาหารในร้านนี้

หลังจากรออยู่ไม่กี่นาที ราเม็งชามใหญ่ในแบบที่น่าจะพอๆ กับก๋วยเตี๋ยวสักสามชาม ก็ลงมาวางอยู่ตรงหน้า ด้วยหน้าตาที่เย้ายวน กลิ่นหอมที่ชวนชิม ทำให้ผมไม่รีรอที่จะรีบสัมผัสรสชาติของมัน น้ำซุปมิโซะเค็มเล็กน้อย ให้รสกลมกล่อมหอมเตะจมูก เมื่อทานพร้อมกับเส้นที่เหนียวนุ่ม ทำให้คลายความหนาวได้ดีทีเดียว แต่ด้วยชามที่ใหญ่ ทำให้ผมรู้สึกไม่ว่าจะกินไปเท่าไหร่ ก็ดูมันจะไม่ลดลงไปเลย สุดท้ายกินไปได้เพียงแค่ครึ่งชามเท่านั้น ผมก็รู้สึกอิ่มจนทานต่อไม่ไหวแล้ว ยิ่งสาวๆ ที่มาด้วยกัน ดูจากปริมาณที่เหลือ เหมือนว่าพวกเธอจะแค่นั่งมองมันระเหยไปเท่านั้นเอง

เค้าว่ากันว่าผู้หญิงมี 2 กระเพาะ ต่อให้พวกเธอบอกว่าอิ่มจนแทบตาย แต่ถ้ายังไม่ได้กินของหวาน ถือว่าอาหารมื้อนั้นยังไม่จบ หลังจากนั่งอยู่ในร้านราเม็งสักพัก สายฝนดูจะเริ่มซาลง เราจึงเริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป้าหมายเราอยู่ที่ร้านไอศครีมซึ่งตั้งห่างออกไปราวๆ สิบกว่ากิโลเมตร ถึงแม้อากาศจะหนาว และเนินซึมยาวๆ จะรอเราอยู่ข้างหน้า แต่การตั้งจุดหมายไว้ด้วยร้านอาหาร ร้านขนม มันทำให้เรามีแรงใจอยากไปให้ถึงขึ้นเยอะเลย และไม่นานในที่สุดเราก็มาถึงร้านที่ขายไอศครีม ที่นี่เป็นเหมือนมาร์เก็ตชั้นเดียวขนาดใหญ่พอสมควร มีห้องน้ำสะอาดโอ่โถง และของสดของแห้งมากมาย รวมถึงร้านอาหารและร้านไอศครีมด้วย แน่นอนว่าในที่สุดทุกคนก็ดูจะสมใจกับไอศครีมที่อยู่ในมือ มันเหมือนทุกคนกำลังถือความสุขอยู่ เพราะดูจากสีหน้าแล้ว ผมไม่เห็นว่าใครจะดูเหนื่อยเลย เพราะสีหน้าทุกคนมีแต่รอยยิ้ม
ยังไม่ทันไร จุดหมายใหม่ของเราก็ถูกอัพเดทขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าข้างนอกจะมีฝนตกปอยๆ แต่ดูเหมือนทุกคนจะปรับตัวได้แล้ว ทันทีที่รู้ว่าต้องออกเดินทาง เสื้อกันฝนทับเสื้อกันหนาว ก็ถูกสวมใส่ในทันที เสื้อกันฝนของใครที่มีฮู้ดก็จะถูกสวมทับด้วยหมวกกันน๊อคจักรยาน ทำให้ไม่เปียกและยังช่วยกันลมหนาวได้อีกชั้นด้วย
ฮาจิมันไต อีกไม่ไกลแล้วนะ
“ของคาวจบไป ของหวานตามมา แต่ว่ายังไม่มีผลไม้ล้างปากเลย” วันนี้อาจจบแบบไม่แฮปปี้เอนด์ ถ้าจุดหมายต่อไปไม่มีผลไม้ให้กิน เราเลยจะไปฟาร์มสตอร์เบอร์รี่กัน ซึ่งจริงๆ นะตอนนั้น ด้วยเส้นทางปั่นที่เป็นเนินซึมมาตลอด บวกกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ และยังมีฝนพรำไม่ขาดสาย ทำให้หลายคนเริ่มเหนื่อยล้า การแวะพักที่ฟาร์มสตอร์เบอร์รี่ จึงเหมือนเป็นแค่สถานที่พักระหว่างทาง ที่เราไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะเราแทบจะปั่นจักรยานกันมาตลอดวัน ระยะทางกว่า 40 กิโลเมตรแล้ว

ซาระดะ ฟาร์ม (Salad Farm) ฟาร์มสตอร์เบอร์รี่
ดูเหมือนว่าฟาร์มสตอร์เบอร์รี่ของเราจะอยู่บนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ถนนที่ปั่นมาจะไม่ใช่เขาสูงชันอะไร แต่ก็รู้สึกได้ว่าเราปั่นขึ้นกันมาตลอดเส้นทาง ผ่านทั้งเนินที่มองเห็นและมองไม่เห็น จนในที่สุดท่ามกลางเนินซึมยาวหลายกิโลเมตร ลมหนาว และสายฝน เราก็มาถึงฟาร์มสตอร์เบอร์รี่แห่งนี้ซะที
ตามปกติแล้วในวันที่เรามานี้ ที่นี่จะไม่เปิดให้เข้าไปทานสตอร์เบอร์รี่ในวันธรรมดา เค้าจะเปิดให้บริการเฉพาะช่วงเสาร์ อาทิตย์เท่านั้น คิดราคาค่าเข้าไปที่ 1,800 เยน ทานได้ไม่อั้นภายในเวลา 40 นาที โดยมีอุปกรณ์ให้สองอย่างคือ ถ้วยและกรรไกร ที่จะเอาไว้ตัดก้านสตอร์เบอร์รี่ออกจากต้น (ห้ามเด็ด)
ภาพของฟาร์มสตอร์เบอร์รี่ที่เห็น กับที่จินตนาการไว้ มันช่างสวนทางกันโดยสิ้นเชิง ในฟาร์มปิดที่เราได้เข้าไป มีต้นสตอร์เบอร์รี่ออร์แกนิคปลูกไว้เป็นแนวตั้ง แบ่งเป็นซอยเลื้อยขึ้นสูงเกือบจะถึงหลังคา ภายในเป็นอาคารโปร่งใส บนพื้นช่องว่างทางเดินปูด้วยผ้าใบสีขาวสะอาดตา ราวกับว่ามันเป็นออฟฟิศสตอร์เบอร์รี่ มากกว่าฟาร์มสตอร์เบอร์รี่ซะอีก เราสามารถเดินไปเลือกตัดสตอร์เบอร์รี่ จากต้นไหนซอยไหนก็ได้ ซึ่งแต่ละต้นแต่ละซอยก็อาจจะมีผลที่รูปร่างต่างกัน และรสชาติต่างกัน ผลของสตอร์เบอร์รี่ที่นี่มีขนาดใหญ่มากๆ เราได้กลิ่นหอมของมันตั้งแต่เดินเข้ามา ทันทีที่ได้กัดกิน เราก็ได้สัมผัสถึงความสดกรอบหวานฉ่ำ หอมอร่อยจนแทบทำให้เราน้ำตาไหล ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางที่ผ่านมา ถูกชำระล้างด้วยความสุขที่ได้รับจากสตอร์เบอร์รี่ที่นี่ในทันที มันคือสตอร์เบอร์รี่ที่อร่อยที่สุดในชีวิตของผมตั้งแต่เคยได้ลิ้มรสมา ถึงแม้เราจะใช้เวลาไม่ครบ 40 นาที แต่ก็รู้สึกได้ถึงความคุ้มค่าและความสุขที่ได้รับอย่างเต็มเปี่ยม ที่เราได้แวะมาที่ฟาร์มนี้
นอกจากปลูกสตอร์เบอร์รี่ ที่นี่ยังมีฟาร์มดอกไม้สวยงามนานาพันธุ์ และของกินของฝากขึ้นชื่ออีกหลายอย่าง ทั้งไข่ต้ม รสละมุน ไอศครีมแสนอร่อยอีกด้วย
ถึงแม้นาฬิกาจะคล้อยเข้าสู่เวลาเย็น แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นดวงอาทิตย์ที่ญี่ปุ่น อากาศดูจะหนาวขึ้นเรื่อยๆ และสายฝนก็ยังคงตกลงมาเป็นละอองอย่างต่อเนื่อง ความเหนื่อยล้าของเราถูกบรรเทาด้วยความงดงามของทิวทัศน์ ก้มหน้าก็เห็นดอกไม้ขึ้นแซมหญ้าริมทาง เงยหน้าก็เห็นซากุระโบกสะบัดพัดให้เป็นกำลังใจ ถนนเงียบสงบ หัวใจก็สงบและซึมซับรับความงามของธรรมชาติไปด้วย ช่างเป็นเส้นทางที่สวยงามเสียเหลือเกิน
และทันใดในชั่วขณะหนึ่ง ที่เราต้องเลี้ยวออกจากถนนเส้นหนึ่งสู่อีกเส้น แสงแดดอุ่นๆ ของดวงอาทิตย์ ก็ทะลุผ่านหมู่เมฆหมอกลงมา สะท้อนเหนือยอดไม้ สร้างประกายแวววาวให้กับเม็ดฝน ดูสวยงามจับใจ ไม่ว่าหนทางจะยาวไกลอีกสักเท่าไหร่ เรายังจะได้รับกำลังใจจากธรรมชาติที่แสนงดงาม ตลอดเส้นทางนี้ ที่รอเราอยู่เสมอ
การได้มาปั่นจักรยานทั่วริ่งบนเส้นทางสายนี้ นับได้ว่าเป็นความโชคดีเรื่องหนึ่งของชีวิตที่ได้มาเห็น ถนนที่ดูธรรมดาๆ แต่ว่ามีความงดงามเฝ้ารอเราอยู่ตลอดเส้นทาง ดูเหมือนว่าระยะทางที่เหลือคงจะอีกไม่ไกล ก่อนที่เราจะได้เข้าพักที่โรงแรม ในตอนแรก เราเห็นลูกวันตัวหนึ่งยืนอยู่ริมรั้ว ความน่ารักของมันดึงดูดเราให้เข้าไปถ่ายรูป แต่ดูเหมือนว่าสมาชิกตัวอื่นๆ ก็อยากมีส่วนร่วมด้วย สุดท้ายเราเลยได้มีโอกาสถ่ายรูปหมู่ร่วมกับครอบครัวเจ้าวัวแสนสุขตัวนั้น
ซากุระเดียวดาย
ถึงแม้วันนี้จะมีโอกาสได้เห็นต้นซากุระมามากมาย แต่ก็ไม่มีต้นไหนสวยและดึงดูดใจเท่ากับซากุระต้นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าบนถนนสายเล็กๆ ที่ไม่มีแม้แต่รถยนต์สักคัน บ้านเรือนสักหลังสายนี้ จะมีต้นซากุระสูงใหญ่แผ่ลำต้นสวยงามดอกบานสะพรั่ง อยู่กลางทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาอิวาเตะที่งดงาม มันยิ่งทำให้เราไม่รู้สึกแปลกใจ เมื่อได้เห็นรถยนต์สองสามคัน จอดอยู่ริมถนนพร้อมกับมีชายสูงวัย ตั้งกล้องถ่ายรูปชุดใหญ่ เพื่อรอถ่ายภาพช่วงเวลาสำคัญ ของเจ้าต้นซากุระต้นนี้
โรงแรมฮาจิมันไต ไฮท์
ก่อนที่แสงสุดท้ายของวันจะสิ้นสุดลง เราเดินทางด้วยจักรยาน บรรทุกสัมภาระ ผ่านลมหนาว และสายฝนมากว่า 50 กิโลเมตร ท่ามกลางวิวทิวทัศน์ของดอกไม้ ผู้คนและธรรมชาติที่งดงาม ถึงแม้แรงกายจะดูถดถอย แต่แรงใจกลับเต็มไปด้วยความสุข ที่ได้รับระหว่างการเดินทาง อาหารและผลไม้แสนอร่อย ที่จะคงอยู่ในความทรงจำของเราไปอีกนาน และมันจะยังคงวนเวียนอยู่ในใจให้คิดถึงเสมอ

และการเดินทางวันนี้ของเราก็มาสิ้นสุดลงที่โรงแรม ฮาจิมันไต ไฮท์ โรงแรมที่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นท่ามกลางขุนเขาที่หนาวเย็น มันเป็นเวลาเกือบจะค่ำพอดี ในตอนที่เรามาถึง รอยยิ้มของพนักงานต้อนรับ ฉายขึ้นบนใบหน้า สามารถเห็นได้แต่ไกล เค้ามีโรงจอดจักรยานให้เราเก็บรถได้เป็นสัดส่วน ภายในโรงแรมสะอาดโอ่โถง และเต็มไปด้วยฮีทเตอร์ตลอดทางเดิน
ห้องที่ผมได้พักคืนนี้มีขนาดใหญ่มากๆ นับได้ว่าเป็นห้องพักที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่น ที่สำคัญยังมีห้องออนเซ็นส่วนตัวขนาดใหญ่ อยู่ในห้องนอนอีกด้วย หลังจากจัดการสัมภาระทุกอย่างเรียบร้อย ก็ได้เวลาหาความอบอุ่นให้ร่างกาย ก่อนไปทานอาหารค่ำ ด้วยการแช่ออนเซ็นในห้อง และนอนพักเก็บแรงไว้ สำหรับการผจญภัยต่อไปในวันพรุ่งนี้ ที่เรียกได้ว่านี่คือระยะทาง 60 กิโลเมตรที่โหดที่สุดในชีวิตของผมเลยทีเดียว

“เส้นทางสู่ยอดเขาฮาจิมันไต ท่ามกลางอุณหภูมิ 0 องศา ฝ่าสโนว์วอลล์ จะสนุกแค่ไหนโปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ”