“เราจะไม่มีวันค้นพบสถานที่สวยงามที่สุด ตราบเท่าที่เรายังออกเดินทาง”
B BKKWheels
หลายครั้งที่ผมออกเดินทางท่องเที่ยวด้วยจักรยาน ผมมักจะพบสถานที่ที่สวยงามเกินกว่าจะนึกฝันมากมาย ในแต่ละที่ แต่ละจังหวัด แต่ละประเทศ ต่างก็มีสเน่ห์ความงามของสถานที่นั้นๆ แตกต่างกันไป ด้วยเฉดสีของดอกไม้ ด้วยลวดลายของท้องฟ้า และด้วยความน่ารักของผู้คน
การเดินทางมาปั่นจักรยานที่ประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นครั้งที่สองสำหรับผม แต่การมาปั่นที่จังหวัดอิวาเตะนั้น นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางมา ถ้าจะนับช่วงเวลาที่มาครั้งแรกจนถึงทริปนี้นั้น ก็เป็นเวลาเกือบจะครบรอบ 1 ปีพอดี ซึ่งรวมถึงชื่อของ “อิวาเตะ” ที่อยู่ในความฉงนสงสัยของผมตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ว่าเจ้าต้นซากุระเดียวดายที่เลื่องชื่อ (อิไน โนะ อิปปน ซากุระ) จะสวยงามสักแค่ไหน สโนว์วอลที่เทือกเขาฮาจิมันไต จะหนาวเย็นและสูงชันสักเพียงไร ร้อยเรื่องเล่า พันรูปถ่าย คงไม่สวยงามเท่าได้เห็นด้วยตาเราเอง
อำนวยความสะดวกและสนับสนุนการเดินทางโดย
บริษัท Octo Cycling จำกัด และ การท่องเที่ยวจังหวัดอิวาเตะ

จากสุวรรณภูมิ สู่ฮาเนดะ
เพียง 6 ชั่วโมงสู่ความเวิ้งว้าง ท่ามกลางความมืด เหนือหมู่เมฆ ใต้แสงดาว ทิ้งอุณหภูมิ 38 องศาของกรุงเทพมหานคร สู่สายฝนปนลมหนาวของมหานครโตเกียว ด้วยเที่ยวบินสุดประทับใจของสายการบิน ANA ทั้งหนังใหม่ๆ ที่ใช้ดูฆ่าเวลา รวมถึงของว่างและอาหารที่นำมาเสิร์ฟถือได้ว่าน่าประทับใจ และในเวลาอีกไม่กี่นาทีก็จะหกโมงเช้า เราก็เดินทางมาถึงสนามบินฮาเนดะ เป็นที่เรียบร้อย

เป็นความโชคดีที่มากับบริษัททัวร์มืออาชีพ สัมภาระทุกอย่างที่เราเอามา ไม่ว่าจักรยานหรือกระเป๋าเสื้อผ้า ก็มีคนขับรถมารอรับนำของทั้งหมดไปส่งให้ยังจุดหมายปลายทาง ที่เมืองโมริโอกะ จังหวัดอิวาเตะ จึงทำให้เราได้ลดความทุลักทุเลไปได้โข หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟโตเกียว เพื่อที่จะไปขึ้นรถไฟความเร็วสูงมุ่งหน้าสู่เมืองโมริโอกะ จังหวัดอิวาเตะ

เพียงแค่ 20 นาทีกว่าๆ จากสนามบินฮาเนดะ เราก็เดินทางมาถึงสถานีรถไฟโตเกียว ในวันนี้ผู้คนค่อนข้างมากพอสมควร ถึงแม้สถานีจะดูกว้างใหญ่แต่ก็ดูมีพื้นที่แคบไปถนัดตา เรามีเวลา 1 ชั่วโมงก่อนที่รถไฟชินคันเซ็น (Tohoku Shinkansen) มุ่งหน้าสู่จังหวัดอิวาเตะจะออก เราจึงใช้เวลาที่มีอยู่หาอะไรรองท้อง รวมถึงข้าวกล่องสำหรับไว้ทานบนรถไฟ ซึ่งจะใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมงในการเดินทาง จากสถานีรถไฟโตเกียว สู่สถานีอิชิโนะเซกิ
การได้ไปเดินดูร้านข้าวกล่องก่อนขึ้นรถไฟชินคันเซ็น นับได้ว่าเป็นความตื่นตาตื่นใจไม่ใช่น้อย เพราะถึงแม้ว่าจะใช้เวลาเดินทางเพียง 2 ชั่วโมง ผ่านระยะทางกว่า 400 กว่ากิโลเมตร ท่ามกลางวิวภูเขา ทุ่งนา และชนบทแบบญี่ปุ่น ความเหนื่อยล้าที่สะสมจากการเดินทางก็พาให้ท้องเราหิวได้เมื่อต้องนั่งรถไฟนานๆ และนี่คือเสบียงที่ผมได้มาก่อนขึ้นรถไฟ บอกได้เลยว่าอร่อยเกินกว่าจะหาถ้อยคำมาบรรยายจริงๆ ข้าวเม็ดสวยเหนียวนุ่ม ถูกห่มด้วยเนื้อปูฟูฟ่องมองแทบไม่เห็นเมล็ดข้าว กลิ่นหอมของเนื้อปลาแซลม่อนซาชิมิที่ผ่านการเบิร์นมาเล็กน้อย หอยที่อวบใหญ่นุ่มหนึบเต็มคำ เมื่อรู้ตัวอีกทีอาหารทั้งหมดก็สลายหายไปอยู่ในท้องหมดแล้ว
และยังไม่ทันที่ผมจะได้นอนหลับพักสายตาสักครู่ 2 ชั่วโมงกว่าๆ กับการเดินทางด้วยรถไฟชินคันเซ็นของเราก็มาสิ้นสุดลงที่จุดเริ่มต้น การท่องเที่ยวอิวาเตะของเรา ณ สถานีรถไฟอิชิโนะเซกิ ถ้าเทียบกับสถานีรถไฟโตเกียวแล้วที่นี่ดูจะเล็กไปถนัดตา แต่ว่าผู้คนไม่หนาแน่นเท่า เราออกมาตามทางเดินที่ดูคล้ายสกายวอล์ค เพื่อจะไปขึ้นรถบัสที่ทาง Octo Cycling ได้จัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งรอเราอยู่ที่ลานจอดรถ พอลงมาถึงที่ลานจอดรถผมถึงได้รู้ว่าสกายวอล์คที่เราข้ามมาเมื่อสักครู่ เค้าสร้างเพื่อข้ามคลองมานี่เอง และนี่ดูจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของผม ที่ได้เห็นคลองเล็กๆ ที่สวยมากมายขนาดนี้ ลำคลองที่มีน้ำไม่สูงมาก แต่ว่าสายน้ำที่ไหลผ่านนั้นใสราวกับมองผ่านกระจกไปสู่ก้นคลอง สองฝั่งข้างคลองเต็มไปด้วยดอกไม้สีเหลือง กำลังโยกพริ้วไปตามแรงลม ท่ามกลางอากาศเย็นราวๆ ไม่ถึง 20 องศา และดูเหมือนว่าจะมีฝนโปรยลงมาเล็กน้อย
ถึงแล้วซินะ อิวะเตะ! (IWATE)
ในที่สุดเราก็มาถึงซะที จังหวัด อิวะเตะ แก่งกิบิเค คือสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกที่เราจะไปเยือน สำหรับแก่งเกบิเคนั้น ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อของจังหวัด อิวาเตะ ที่ถ้าใครได้มาเที่ยวจังหวัดนี้ ที่นี่คือหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ควรแวะมายล คุณจะสัมผัสได้ถึงความเป็นเมืองชนบท ที่เปี่ยมไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม ตั้งแต่ออกมาจากสถานีรถไฟอิชิโนะเซกิ (Ichinoseki Station)
ภาพของเทือกเขาฮาจิมันไต ที่เด่นชัดอยู่ที่ข้างหน้าต่างรถบัสของเราขณะแล่นไป มันดูยิ่งใหญ่ สวยงาม เด่นสง่า ราวกับว่ากำลังท้าทายให้เราขึ้นไปพิชิตให้ได้ โดยที่เราไม่รู้เลยว่า นี่เป็นเหมือนกับกลลวงที่กำลังล่อให้เราขึ้นไปติดกับ มันเหมือนดอกกุหลาบที่ใช้ความงามและกลิ่นหอมยั่วยวน ชวนให้เราเอามือไปคว้า แล้วได้เลือดกลับมาจากคมหนาม เราได้มองและชื่นชมความงามของมันอย่างไร้เดียงสา โดยที่ไม่รู้เลยว่าอะไรกำลังรอเราอยู่
ปล่อยหัวใจ ไหลไปตามโตรกธารเกบิเค (Geibikei Gorge)
เพียงแค่ 20 นาทีกว่าๆ เราก็เดินทางมาถึงแก่งเกบิเค สายฝนทำท่าจะปรอยลงมาอีกครั้ง ข้างนอกรถบัสอากาศหนาวเย็นกำลังสบาย เสียงสายน้ำที่ไหลไปตามแก่งดูคึกคัก ราวกับว่ามันกำลังสนุกที่ไหลไปอย่างนั้น และทันทีที่เดินทางถึงจุดจอดเรือ เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น รอยยิ้มที่เป็นมิตร ของผู้คนที่นี่ ที่สำคัญเค้ามีเอกสารแนะนำสถานที่แห่งนี้เป็นภาษาไทยให้ด้วย สมกับเป็น 100 สถานที่เที่ยวแนะนำของประเทศญี่ปุ่นจริงๆ
ตอนอยู่เมืองไทย ผมก็เคยล่องเรือเที่ยวอยู่บ้าง แต่พอนั่งไปสักพักวิวสองฝั่งแม่น้ำ มันก็ดูจะไม่ตื่นเต้นสำหรับเราแล้ว แต่น่าแปลกที่เกบิเค กลับไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น ผมลงเรือไปแบบไม่ได้คาดหวังอะไร รู้สึกเพียงอยากนั่งพักให้หายเหนื่อยจากการเดินทาง ความเงียบของธรรมชาติ มันมีความหลากหลายของเสียงให้เราได้ฟัง นอกไปจากเสียงของตัวเราเอง เรากำลังถูกโอบล้อมด้วยผืนป่าขนาดใหญ่ น้ำที่ใสจนมองลงไปเห็นฝูงปลาที่แหวกว่าย หมู่นกเป็ดน้ำที่พากันว่ายเล่นเป็นคู่อย่างไม่แคร์โลก นกที่สยายปีกบินล้อลมอย่างองอาจ โดยไม่หวั่นเกรงใคร ปลาสีทองตัวใหญ่ แหวกว่ายน้ำอย่างสบายใจ โดยไร้สิ่งใดให้กังวล
รูปของผาหินฟอสฟอรัสที่ตั้งตระหง่านขึ้นจากผืนน้ำ สลับกับแมกไม้สีเขียวที่เบียดกันขึ้นชิดปกคลุมหนาราวกับขนของแมวเปอร์เซีย ที่เกบิเคนี้ สามารถมานั่งเรือเที่ยวได้ตลอด 4 ฤดู ความงดงามของต้นไม้และสัตว์ต่างๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล มันเป็นสถานที่ที่ยิ่งมองยิ่งเพลิดเพลินไปโดยไม่รู้ตัว บวกกับอากาศที่เย็นสบายและสดชื่น ที่คอยพัดผ่านมาตามลำน้ำอยู่เนืองๆ สายลมที่พัดมาแต่ละครั้งรู้สึกเหมือนความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมา ถูกพัดพาออกไปด้วย มันรู้สึกราวกับว่าความสุขของคนเรามันก็เพียงเท่านี้เอง
นอกจากทิวทัศน์ที่งดงาม อากาศดีๆ เรายังมีข้าวกล่องเซ็ทใหญ่ติดมาด้วย นั่งชมวิวไป กินข้าวกล่องล่องเรือไป มันรู้สึกมีความสุขเกินจะบรรยาย ไฮไลท์อีกอย่างนอกจากความสวยงามของหินผา หน้าตาแปลกไปตามจินตนาการแล้ว ยังมีเหล่าบรรดาสัตว์ต่างๆ ที่อาศายอยู่ในแก่งน้ำนี้ ที่ผมรู้สึกราวกับว่า มันมีเซ็นเซอร์ติดอยู่ตรงไหน หรือมันเป็นสัตว์ไขลานกันแน่ มันถึงได้ออกมาตามจุด ตามจังหวะ ได้เหมาะเจาะพอดีเช่นนี้ โดยเฉพาะพวกเป็ดและปลาต่างๆ
โดยส่วนตัวผมมีความประทับใจในหลายๆ อย่างของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ ทั้งในเรื่องความสวยงามของธรรมชาติ สัตว์นานาชนิด ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันโดยรอบ คนที่ถ่อเรือให้เรานั่ง ถึงแม้เค้าจะดูเป็นคนเงียบๆ เพราะอาจติดที่เราสื่อสารกันคนละภาษา แต่ว่าเค้าก็มีความเป็นนักเอ็นเตอร์เทนเนอร์อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะตอนที่เค้าร้องเพลงขับกล่อมบอกเล่าถึงฤดูต่างๆ ของแก่งเกบิเคให้เราฟัง ถึงจะไม่รู้ความหมาย แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ในตอนที่เรานั่งเรือเข้าไป ยังไม่มีคนมาเที่ยวมากนัก แต่ตอนที่เรากำลังจะกลับ มีนักเรียนกลุ่มใหญ่ กำลังนั่งเรือเข้ามาทัศนะศึกษากัน เราต่างส่งภาษาทักทายด้วยรอยยิ้มและไมตรี มันยิ่งทำให้การได้มาเที่ยวที่นี่ รู้สึกสบายใจและผ่อนคลายไม่ใช่น้อย



วัดจูซงจิ หนึ่งในมรดกโลกทางวัฒนธรรม (Chusonji Temple)
ปีที่แล้วตอนไปปั่นจักรยานที่ฮิโรชิมา เท่าที่จำได้ผมยังไม่เคยแวะเที่ยววัดของญี่ปุ่นเลย วัดจูซงจิ เป็นหนึ่งในสถานที่เลื่องชื่อของจังหวัด อิวาเตะ เคยเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธนิกายเทนไดในภูมิภาคโทโฮคุ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 850 ถึงแม้ว่าอยู่เมืองไทยผมจะมีโอกาสไปเที่ยววัดมาเยอะ แต่ผมกับหลงสเน่ห์ของวัดญี่ปุ่นอย่างบอกไม่ถูก เพราะเพียงแค่เดินออกมาจากลานจอดรถ ผมก็รู้สึกสงบร่มเย็น ด้วยธรรมชาติที่รายล้อม ต้นซากุระเตี้ยๆ ถูกปลูกไว้เป็นแนวยาวตลอดทางเดิน
นั่นยังไม่ทำให้ผมตกละลึงเท่ากับต้นไม้ สูงใหญ่จนต้องแหงนคอมองยอด ความเก่าแก่ของมัน แสดงออกมาผ่านเปลือกที่หนาและแข่งแรง แตกปริออกมาราวกับรอยย่นบนใบหน้าของชายชราผู้มีอายุยืน ทางเดินที่ลาดชันพาเราไปสู่พื้นที่ด้านบน ซึ่งมีอาคารทั้งเก่าใหม่ หลายหลังตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ อย่างมีสไตล์

หอเก็บสมบัติ
เป็นที่เก็บสมบัติของชาติและมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญกว่า 3,000 รายการ

หอธรรม
หอธรรมซึ่งตั้งอยู่ข้างวิหารสีทองนี้เป็นที่เก็บรักษา “พระสูตรแห่งวัดจูซงจิ”

วิหารสีทอง
สร้างในปี ค.ศ. 1124 เป็นอาคารเดียวที่ยังเหลือเค้าเดิมอยู่
หากมีโอกาสมาที่นี่มี 2 อาคารที่คุณควรจะเข้าไปดูด้านในให้ได้และไม่ควรพลาดเป็นอันขาด หนึ่งคือ วิหารสีทอง สองคือ หอเก็บสมบัติ ทั้งสองที่คู่ควรและคุ้มค่าที่คุณจะได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน ทั้งพระประธานที่แกะสลักอย่างงดงามที่ประดิษฐานอยู่ด้านในวิหารสีทอง และอุโบสถที่อยู่ภายในอาคารหอเก็บสมบัติ ขออภัยที่ไม่สามารถถ่ายภาพภายในมาให้ดูได้ แต่ที่นี่เค้ามีแผ่นพับภาษาไทยให้ด้วยนะ ซึ่งในแผ่นพับมีภาพอุโบสถอยู่แต่ผมอยากให้คุณได้ไปดูด้วยตาตัวเองมากกว่า
Hotel Route Inn Morioka
หลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักคืนแรกในอิวาเตะเสียที ซึ่งคืนนี้เราจะนอนกันที่เมืองโมริโอกะ ซึ่งเมืองนี้ถือว่าเป็นเมืองเอกของจังหวัด อิวาเตะ เลยทีเดียว โรงแรมที่เราพักอยู่ห่างจากสถานีรถไฟเพียงแค่ข้ามถนน ซึ่งสถานีรถไฟที่นี่ใหญ่มาก ภายในมีร้านค้าและร้านอาหาร รวมถึงร้านสะดวกซื้อให้เลือกมากมาย เราตัดสินใจที่จะเอากระเป๋าเดินทางที่มารอเราอยู่ที่โรงแรมนานแล้ว ขึ้นไปเก็บบนห้อง ก่อนจะลงมาพบกันและออกไปหาอะไรทานข้างนอก ซึ่งวันนี้เราเลือกที่จะเดินไปกินร้านซูชิสายพาน ที่ตั้งอยู่ชั้นล่างของสถานีรถไฟโมริโอกะ
ซึ่งถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่เยี่ยมยอดสุดๆ ด้วยข้าวปั้นคำโตที่เข้ากันได้ดีกับหน้าที่มีทั้งปลาและหอยในแบบที่ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ รวมไปถึงซูชิหน้าต่างๆ หลากหลายที่มีให้เลือกทาน คุณสามารถเลือกได้ว่าจะนั่งรอโชคชะตาเพื่อที่จะพบหน้าซูชิที่ถูกใจ หรือจะสั่งให้เค้าทำมาเสิร์ฟให้กี่คำก็ตามใจ แต่ไม่ว่าหน้าอะไรที่มากับจานสีทอง มันเป็นอะไรที่อร่อยสุดยอดจริงๆ
หลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว ก็ใช่ว่าจะไปเข้านอนอาบน้ำให้สบายได้ เรายังมีภาระกิจสุดท้ายของวัน ท่ามกลางลมหนาวที่กระหน่ำแรงขึ้น แทนที่เราจะได้เข้าไปอาศัยไออุ่นของโรงแรม เรากลับต้องลากกระเป๋าจักรยาน ออกมาประกอบกันหน้าโรงแรมในเวลาเกือบจะสามทุ่ม เมื่อจักรยานทุกคันถูกประกอบอย่างเรียบร้อย รถพร้อมแล้ว คงจะมีแต่คนเท่านั้นที่ยังไม่พร้อม ดูเหมือนว่าเราต้องการพละกำลังพอสมควรสำหรับการเดินทางในยามรุ่งของพรุ่งนี้ เนื่องจากที่ญี่ปุ่นเวลาเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง เราจึงต้องนอนเวลาเมืองไทย สี่ทุ่ม (เที่ยงคืนที่ญี่ปุ่น) และตื่นตีสาม (ตีห้าที่ญี่ปุ่น) ทุกวันนับจากนี้
การเดินทางสู่เมืองฮาจิมันไต (Hachimantai) ไม่ว่าจะมีอะไรรอเราอยู่ ลองเมื่อชีวิตได้เริ่มต้นเดินทางแล้ว มันต้องมีทั้งเรื่องร้ายและดี รอเราอยู่ข้างหน้าเสมอ
โปรดติดตามการเดินทางสู่เมืองฮาจิมันไตได้ในตอนต่อไป