มีหลายคนมักพูดว่าไต้หวันคือญี่ปุ่นที่ถูกกว่า โดยส่วนตัวก็เห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น บ้านเมืองที่สะอาดเป็นระเบียบ เดินทางท่องเที่ยวสะดวกสบาย มีธรรมชาติที่สวยงาม ผู้คนที่เป็นมิตร และมีสินค้าญี่ปุ่น ทั้งขนมและอาหารที่สดใหม่ใกล้เคียงกันในราคาที่ถูกว่าเมืองไทย แถมเวลาไปเที่ยวไต้หวันจ่ายเงินแต่ละทีก็ไม่ต้องคิดค่าเงินให้ปวดหัว เพราะค่าเงินบาทไทย มีค่าใกล้เคียงกับค่าเงิน NT ของไต้หวัน
ผมมีโอกาสมาเที่ยวไต้หวันหลายครั้ง แต่ทุกครั้งมักจะมาเพื่อปั่นจักรยาน ซึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นการเที่ยวแบบที่ได้เห็นและสัมผัสไต้หวันในแบบละเอียด ครั้งนี้ละเอียดกว่ามาปั่นจักรยาน เพราะว่าเรามาเพื่อเดินเขา ที่ไต้หวันและเมืองที่ผมมาบ่อยที่สุดก็คือเมืองนิวไทเป ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะไต้หวัน เป็นเมืองที่มีธรรมชาติสวยงามและสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ไม่ว่าจะมาปั่นก็ดี หรือเดินเขาชมธรรมชาติก็ได้ และสำหรับทริป Taiwan Trekking ครั้งนี้ ผมได้ร่วมเดินทางมากับคณะของบริษัท Octo Cycling ซึ่งเป็นบริษัทจัดทัวร์ท่องเที่ยวด้วยจักรยาน และกิจกรรมเอาท์ดอร์ สำหรับทริปนี้เราเดินทางในช่วงวันที่ 13 – 16 มิถุนายน 2561 ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนของไต้หวันพอดี
โขดหินงวงช้าง เฌ่ออ้าว (Shen’ao Elephant Trunk Rock)
โขดหินงวงช้าง เฌ่ออ้าว คือหนึ่งในผลงานศิลปที่ถูกสรรสร้างด้วยการเวลาและธรรมชาติ ที่เปลี่ยนก้อนหินชายทะเลขนาดใหญ่ให้มีลักษณะคล้ายกับช้าง ที่กำลังหันหน้าสู่ทะเล นับได้ว่าที่นี่เหมาะจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางท่องเที่ยว เดินเขาในไต้หวันโดยแท้ เพราะบริเวณที่ตั้งของโขดหินงวงช้าง อยู่ไม่ไกลจากลานจอดรถนัก ใช้เวลาเดินเลียบเลาะชายฝั่ง ซึ่งเต็มไปด้วยโขดหิน และวิวของหมู่บ้านชาวประมงที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง เพียงไม่กี่นาทีก็ถึงจุดชมวิวของโขดหินงวงช้างแล้ว เดินขึ้นเนินอีกนิดหน่อย ไม่ทันได้เหงื่อ ก็มาถึงจุดชมวิวที่สวยงาม ที่เต็มไปด้วยศิลปโดยธรรมชาติ ทั้งหินรูปทรงประหลาด และจุดไฮไลท์ที่ใครๆ ก็ต่างต้องปีนป่ายขึ้นไปถ่ายรูปกันอย่างโขดหินงวงช้างนั่นเอง




บริเวณที่เป็นหินงวงช้างนั้นจะยื้นลงไปในทะเล ซึ่งคนที่ต้องการจะขึ้นไปถ่ายรูปที่บริเวณด้านบนหัวช้าง ก็ต้องปีนป่ายขึ้นไปเล็กน้อย ช่วงที่ผมไปถ่ายรูปที่นี่ลมค่อนข้างแรง สำหรับคนที่กลัวความสูงก็อาจรู้สึกหวิวๆ บ้าง เพราะเบื่องล่างคือทะเล หากไม่ระวังพลาดตกลงไปก็ค่อนข้างอันตรายพอสมควร แต่ก็ถือได้ว่าเป็นจุดชมวิว ที่เดินมาชมได้แบบไม่เหนื่อย และสวยคุ้มค่าพอสมควร
เดินเขา Nanzilin Trail
หลังจากได้วอร์มร่างกายด้วยการปีนโขดหินงวงช้างแล้ว นั่งรถมาประมาณ 10 กิโลเมตร คุณก็จะพบกับอีกหนึ่งเส้นทางเดินเขาที่เหมาะสำหรับมือใหม่ ที่ไม่อยากผจญภัย แต่ชอบถ่ายรูป ชมวิว ชื่นชมทิวเขา Nanzilin Trail คือหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวเดินเขาแบบไม่ง่าย ใช้เพียงแรงกายอย่างเดียว ด้วยระยะทางเดินเพียง 1 กิโลเมตร สู่จุดยอด คุณก็จะได้เห็นวิวทิวทัศน์ ที่งดงาม คุ้มค่าเหงื่อที่เสียไป ด้วยเส้นทางนี้จะมีบันไดหิน ให้เราได้เดินตามขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อขึ้นไปได้ประมาณหนึ่ง หากมองย้อนกลับมาก็จะเริ่มเห็นเมืองที่อยู่เบื่องล่าง เห็นวิวที่ทะเลที่สวยงาม

ตลอดสองข้างทางที่เราเดินขึ้นไป จะเต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้าที่มีความยาวพอสมควร กำลังพริ้วพัดลู่ไปตามสายลม หากรู้สึกเหนื่อย ระหว่างทางมีศาลาให้นั่งพักได้ ถึงแม้ระยะทางการเดินขึ้นเขา Nanzilin Trail จะไม่ไกลมาก แต่ก็ควรติดน้ำดื่ม หรือของกินเพิ่มพลังงานเล็กๆ น้อยๆ มาด้วย ในวันที่เราเดินขึ้นมาที่นี่ เราเจอคนไม่มากนัก จึงทำให้การถ่ายรูปไม่ว่าจะมุมไหนก็ดูส่วนตัวไปหมด ถึงแม้ Nanzilin Trail จะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง แต่การได้เดินขึ้นไปจนถึงจุดยอด แล้วได้ชมวิวทิวทัศน์รอบๆ ทั้งหมู่บ้านชายฝั่ง และขุนเขาที่รายล้อม ท่ามกลางกระแสลมที่พัดโถมใส่เรา นั่งจิบชาอุ่นๆ บนยอดเขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก



Nanzilin เป็นจุดเดินเขาชมวิวที่ถือว่าค่อนข้างง่าย อาจจะเหนื่อยหน่อยสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เดินเที่ยวเขาแบบนี้ แต่สำหรับคนที่ชอบธรรมชาติ ชิลๆ หลีกหนีจากผู้คน ที่นี่ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้ความสงบในหัวใจได้ดี เพราะได้เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ฟังเสียงหัวใจตัวเองและเสียงลม ชื่นชมกับความงดงามรอบๆ ตัว เชื่อว่าเพียงเท่านี้ก็ทำให้ใครหลายคนมีความสุขแล้ว ห่างจากทางขึ้นไม่ไกลมีป้ายรถประจำทางด้วยหากจะมาเที่ยวด้วยตัวเอง
เดินเขา Bitoujiao Trail
Bitoujiao Trail ตั้งอยู่ห่างจาก Nanzilin เพียงประมาณ 4 กิโลเมตร เส้นทางเดินเขาทั้ง 2 แห่งนี้ตั้งอยู่ในตำบล Ruifang เช่นเดียวกัน Bitoujiao Trail ซึ่งติดอันดับ 10 เส้นทางเดินป่าที่ดีที่สุดใน TripAdvisor ด้วย โดยส่วนตัวก็รู้สึกเห็นด้วยเช่นนั้น เพราะ Bitoujiao เป็นเส้นทางเดินเขาแบบสั้นๆ ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ที่สามารถพาพ่อแม่ไปเดินเที่ยวด้วยได้ ทางเดิน Nanzilin ถึงแม้จะมีบันได แต่ก็เป็นบันไดหินแบบโบราณ ใช้หินมาวางเป็นบันไดไม่สม่ำเสมอ บางก้าวสั้นบางก้าวยาว เวลาเดินอาจต้องระวัง พาผู้ใหญ่ที่เดินไม่ถนัด อาจไม่เหมาะ


แต่สำหรับ Bitoujiao ถึงแม้ระยะทางจะไกลกว่า แต่ทางเดินเป็นบันไดหินอย่างดี เส้นทางมีความหลากหลาย มีขึ้นลง เลาะเลียบชมวิวทะเล ก่อนจะเดินขึ้นสู่ยอดเขา ผ่านป้อมปราการเก่า ซึ่งเราไม่สามารถเข้าไปชมได้ เพราะมีการล้อมลวดหนามไว้อย่างแน่นหนา ช่วงเวลาที่เราไปเที่ยวที่นี่เป็นฤดูร้อนของไต้หวัน แต่ตลอดวันที่เดิน 3 ภูเขา กลับไม่รู้สึกร้อนเลย อากาศดีมีลมเย็นๆ จากทะเลพัดมาตลอด


หากนับสถานที่ที่เราไปเดินมา 3 แห่ง Bitoujiao ถือว่าเป็นไฮไลท์ของวันเลยทีเดียว ทั้งทางเดินที่ง่าย และทิวทัศน์ที่สวยงาม จนต้องหยุดแวะถ่ายรูปในหลายๆ จุด โดยเฉพาะทางเดินบนสันเขาด้านบน น่าจะเป็นไฮไลท์ที่ใครๆ ก็อยากไปถ่ายรูปกัน ด้วยเพราะที่นี่มีชื่อเสียงพอสมควร จึงมีนักท่องเที่ยวคู่รักและครอบครัว มาเดินเขาลูกนี้กันพอให้พบเห็นตลอดรายทาง แต่ไม่หนาแน่น

Bitoujiao สามารถเดินเล่นแบบทางเดียวได้ ไม่ต้องย้อนกลับทางเดิมเหมือน โขดหินงวงช้างและ Nanzilin ซึ่งหากเดินมาทางบันไดหิน ผ่านโรงเรียนประถมมาทางลงก็จะเป็นบันไดไม้ผ่านป่า ออกไปเป็นหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งที่นี่มีห้องน้ำและร้านกาแฟ ร้านน้ำขายด้วย


เดินเขาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ Keelung Trail
Keelung Trail ตั้งอยู่ใกล้กับ Jiufen Old Street สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของไต้หวัน ก่อนจะพูดถึง Keelung ผมอยากจะเล่าให้ฟังสักนิดว่าทำไมภูเขาที่ต้องตื่นมาดูพระอาทิตย์ยามเช้า จึงถูกนำมาเล่าในตอนจะจบ ผมมาปั่นจักรยานย่านนี้ประมาณ 4 หรือ 5 ครั้งได้แล้ว และทุกครั้งที่มาก็จะมานอนที่เมือง Jiufen ซึ่งโรงแรมที่ผมพักก็มักจะมองเห็นเจ้าภูเขา Keelung อยู่ข้างๆ เสมอ เวลามาปั่นจักรยานเที่ยวก็จะเที่ยวด้วยจักรยานจนหมดวัน และพอมาพักที่ Jiufen ก็จะไปเดินแค่ตลาดเก่า ชมแสงสีของเมือง หารู้ไม่เลยว่าเจ้าภูเขาที่อยู่ข้างๆ เรา ที่เฝ้ามองมันอยู่บ่อยๆ ทุกครั้งที่มานอน Jiufen ก็มีของดีอยู่เหมือนกัน
แต่ว่าการจะได้เห็นของดีแห่ง Keelung จะต้องตื่นราวๆ ตีสี่ ซึ่งต้องมีไฟฉายมาด้วย เพราะถึงแม้ทางขึ้นเขา Keelung จะเป็นบันไดหิน เดินขึ้นได้ไม่ยากนัก แต่ก็มีความชันอยู่พอสมควร ระยะทางขึ้นจากตีนเขาสู่ยอดราวๆ 1 กิโลเมตร ตอนที่คณะเราตื่นขึ้นไปเดินกัน คิดว่าจะมีแค่เรา เพราะเส้นทางเดินขึ้นเขามืดมาก แต่พอเดินขึ้นไปได้สักพัก ก็เจอทั้งคนท้องถิ่น ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ มาเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่บนยอดเขา Keelung กันอยู่พอสมควร ซึ่งนอกจากไฟฉายที่ต้องพกไปด้วย บ่อยครั้งที่ผมไป Jiufen มักจะเจอฝนตก และอากาศค่อนข้างเย็น ถึงแม้เช้าวันนั้นจะอยู่ในช่วงฤดูร้อน แต่การเดินขึ้นเขา Keelung ก็เย็นพอสมควรเมื่อขึ้นถึงยอดเพราะลมค่อนข้างแรง ทางที่ดีควรมีเสื้อกันหนาว หรือกันลมติดมาด้วย และจะให้ดียิ่งขึ้นติดกระติกน้ำร้อนใส่ชาหรือกาแฟ มาจิบพร้อมกับมีของว้างนั่งทานระหว่างรอชมแสงแรงของวัน มันก็จะฟินสุดๆ ไปเลย
ถึงแม้เช้าวันนั้นเราจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่ปลายขอบทะเลเหนือยอดเขา Keelung ด้วยหมอกที่หนา แต่ก็ไม่รู้สึกว่าเสียเที่ยวอะไร เพราะถึงแม้ไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า แต่เราก็ได้เห็นความงามรอบๆ ตัว เราได้เห็นแสงสีทองของดวงอาทิตย์ที่พยายามเล็ดลอด แทรกตัวออกมาจากหมู่เมฆที่ปกคลุมหนา แสงสีทองเล็กๆ ที่แผ่กระจายเหนือทะเลจีนตะวันออก สะท้อนลงบนผืนน้ำ ภาพของเมืองยามเช้า เริ่มปรากฎขึ้น ชีวิตเริ่มเคลื่อนไหว ระหว่างทางที่พวกเราเดินลงจากเขา Keelung เราได้มองเห็นวิวสวยๆ ที่ถูกความมืดบิดบังไว้ ในตอนที่เราเดินขึ้นมา ระหว่างที่เดินลงมายังไม่ถึงครึ่งทาง เราก็ได้เห็นว่า เมือง Jiufen เมื่อมองลงมาจาก Keelung ยังคงสวยงามด้วยมุมที่มองได้หลากหลาย ทำให้ไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่าเพราะอะไรถึงจะมาเที่ยว Jiufen หลายครั้งแต่ก็ยังไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยสักครั้ง
Jiufen Old Street
ผมตกหลุมรัก Juifen ตั้งแต่เดินทางมาครั้งแรก เหมืองทองเก่า ที่ผู้คนยังคงหลังไหลมาอย่างไม่ขาดสายถึงแม้ว่าจะไม่มีทองให้ขุดแล้ว หลายคนมาเที่ยวที่นี่ แต่นอนที่อื่น นั่งรถมาจากไทเป มาเดิน มาช้อป มาถ่ายรูปแล้วกลับ บางคนประทับใจ บางคนเฉยๆ แต่ผมคิดว่าความงามของ Juifen จะตรึงติดในความรู้สึกคุณหากเมื่อได้มานอนค้างคืนที่นี่
Juifen ยามโพล้เพล้งามดังเพชรเมื่อต้องแสง ชุมชนขนาดใหญ่ที่สร้างบ้านตามไหล่เขา ซ้อนกันไปมา มีเพียงตรอกเล็กๆ ชันๆ ให้เดินสัญจร บ้านเรือนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยากจะหาที่ไหนเหมือน จนการ์ตูนค่ายดังจากญี่ปุ่นอย่าง Studio Ghibli นำส่วนหนึ่งของเมืองนี้ไปเป็นฉากหนึ่งใน Animation เรื่อง Spirited Away จนทำให้ร้านน้ำชาโคมแดงใน Jiufen Old Street เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญที่ใครได้มาจะต้องแวะถ่ายรูปที่นี่
ถ้าจะมาเดินเที่ยว Juifen ควรมาช่วงเวลาเย็น คุณจะได้เห็นความสวยงามของเมืองนี้เปล่งประกายในเวลาที่สิ้นแสง แต่เสียดายที่ร้านค้าเมืองนี้ปิดกันเร็วมากๆ ราวๆ หนึ่งทุ่มก็ทะยอยปิดแล้ว แค่สองทุ่มก็แทบจะปิดหมดเกือบทุกร้าน คนมา Juifen ส่วนใหญ่ก็มาเพื่อถ่ายรูป ทานอาหาร ซื้อของฝาก ซึ่งทั้งสองอย่างมีให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะของกิน ถ้าเป็นคนชอบลองก็มี อาหารหน้าตาแปลกๆ ให้ได้ลองเลือกกินได้ไม่เบื่อ
ส่วนใหญ่เวลามา Jiufen ช่วงเดือนมีนาคมเพื่อปั่นจักรยานเที่ยว ที่นี่จะอากาศค่อนข้างหนาวเย็น และมีฝนตกอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าไม่มีวันไหนที่มา Jiufen แล้วไม่เจอฝน คราวนี้ Octo Cycling พาเรามาเดินเขาในช่วงเดือนมิถุนายน ถึงแม้จะเป็นฤดูร้อนของไต้หวัน แต่อากาศที่ Jiufen ก็เย็นสบาย แต่ก็ไม่พลาดที่จะได้เจอฝนหนึ่งวัน โชคดีที่ได้นอนค้างที่นี่ 2 คืน และในที่สุดผมก็ได้เดินถ่ายรูป Jiufen ในวันที่ไม่มีฝนเสียที ซึ่งมันทำให้ Jiufen ดูน่ารักมากขึ้นอีกเป็นกอง และยังทำให้ Jiufen ในความทรงจำของผมจะยังคงสวยงามตลอดไป
Sunshine Taste Places
เวลาไป Jiufen บริษัท Octo Cycling มักจัดให้ลูกค้าได้พักที่โรงแรม Sunshine Taste Places ซึ่งเป็นโรงแรมที่ทำเลดีมากๆ แถมห้องพักแต่ละห้องก็น่ารักมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ถ้ามาแบบคู่รักแนะนำให้จองห้องสวีท ผมคิดว่าผมน่าจะนอนเกือบทุกห้องของโรงแรมนี้แล้ว ห้องสวีทสวยงามน่ารักคุ้มค่าน่านอนจริงๆ ซึ่งห้องอาหารก็น่ารักไม่แพ้กัน ถือได้ว่าเป็นที่พักสไตล์ Cozy ที่เหมาะจะมาแบบคู่รักและครอบครัว ที่สำคัญคือวิวรอบๆ โรงแรมก็สวยไม่แพ้กันและยังสามารถเดินขึ้นไปยังตลาดได้แบบง่ายๆ ไม่งงเส้นทางด้วย
สนับสนุนการเดินทางโดย
บริษัททัวร์จักรยาน Octo Cycling
Octo Cycling เป็นบริษัทจัดการท่องเที่ยวและกิจกรรมเอาท์ดอร์ ทั้งปั่นจักรยานและเดินเขา มีเส้นทางปั่นจักรยานท่องเที่ยวทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ลาว เวียดนาม ไต้หวัน เกาหลี รวมถึงญี่ปุ่น และเส้นทางปั่นท่องเที่ยวแถบยุโรปอีกด้วย
สอบถามข้อมูลท่องเที่ยว โทร. 0-2181-2088 หรือที่ www. Octocycling.com หรือ www.facebook.com/octocycling